9 วิธีอัปเกรดตัวเองให้เป็นคนเก่งในที่ทำงาน
ไอเดียหลักในประโยคเดียว
- การจะเป็นคนทำงานที่โดดเด่น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเราฉลาดแค่ไหน แต่ขึ้นอยู่กับการสร้างนิสัยดีๆ อย่างการเป็นคนกล้าเริ่มทำสิ่งใหม่ๆ และการนำเสนอผลงานของตัวเองให้เป็น
ประเด็นสำคัญที่ต้องรู้
- กล้าทำเกินหน้าที่: คือการไม่รอให้ใครสั่ง แต่มองหางานหรือปัญหาที่ยังไม่มีคนทำ แล้วอาสาเข้าไปช่วยจัดการ แม้จะไม่ใช่หน้าที่โดยตรงของเราก็ตาม
- สร้างคอนเนคชั่น: คือการรู้จักคนเก่งๆ ในหลายๆ ด้าน เพื่อที่เราจะสามารถขอความช่วยเหลือหรือหาข้อมูลได้เร็วขึ้น เหมือนมีทีมซูเปอร์ฮีโร่ส่วนตัว
- จัดการตัวเองให้เป็น: คือการรู้จักวางแผนงานของตัวเอง จัดลำดับความสำคัญ และปกป้องเวลาของตัวเองจากสิ่งที่ไม่จำเป็น เพื่อให้มีสมาธิกับงานที่สำคัญจริงๆ
- มองให้กว้างกว่าเดิม: คือการพยายามเข้าใจมุมมองของคนอื่น เช่น ลูกค้า หรือเพื่อนร่วมงานในแผนกอื่น จะทำให้งานของเราดีขึ้นและตอบโจทย์คนอื่นมากขึ้น
- นำเสนอให้ปัง: ต่อให้ทำงานดีแค่ไหน แต่ถ้าเล่าให้คนอื่นฟังไม่รู้เรื่องก็ไม่มีประโยชน์ การฝึกนำเสนอผลงานให้เข้าใจง่ายและน่าสนใจจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก
- เกร็ดน่ารู้ & ตัวเลขสำคัญ:
- เรื่องจริง: พนักงานพาร์ทไทม์คนหนึ่งชื่อ Catherine Beth หาช่องโหว่ในระบบของรัฐเจอ และช่วยประหยัดเงินไปได้ถึง 489 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 17,000 ล้านบาท!) จากการทำงานเกินหน้าที่
- เรื่องจริง: คนที่เป็น Star Performer อาจมีรายได้มากกว่าเพื่อนร่วมงานในตำแหน่งเดียวกันถึง 2 เท่า, 5 เท่า หรือแม้แต่ 10 เท่า
- เรื่องจริง: พนักงาน 90% ใช้เวลา 90% ของตัวเองในการเป็น "ผู้ตาม" และพวกเขาก็สร้างความสำเร็จให้องค์กรถึง 90% เช่นกัน
คำพูดเด็ดๆ พร้อมคำอธิบาย
คำพูด: "> ถ้าคุณมี 10 นาที อย่าทำให้ 10 นาทีนั้นมันเป็นการไปอ่านสไลด์ ซึ่งคนจำนวนมากทำแบบนั้น"
- หมายความว่า: เวลาพรีเซนต์งาน อย่าแค่ยืนอ่านสิ่งที่มีอยู่บนจอเฉยๆ เพราะใครๆ ก็อ่านเองได้ แต่เราควรอธิบายเพิ่มเติม หรือเล่าเรื่องราวที่น่าสนใจที่อยู่เบื้องหลังข้อมูลนั้น
- ทำไมถึงสำคัญ: โอกาสที่จะได้โชว์ผลงานกับคนสำคัญๆ มันมีน้อยมาก เราต้องใช้เวลานั้นให้คุ้มค่าที่สุดด้วยการเตรียมตัวไปอย่างดี เพื่อให้คนฟังเข้าใจและเห็นว่าเราเก่งจริง
คำพูด: "> Star Performer เนี่ย จะมีความรู้สึกอยากออกไปล่าโอกาสพวกนี้... ไม่ใช่แค่เพื่อตัวเองอย่างเดียว แต่เพื่อเพื่อนร่วมงาน เพื่อแผนกของตัวเอง หรือเพื่อบริษัท"
- หมายความว่า: คนที่ทำงานเก่งจริงๆ จะมองหางานหรือปัญหาที่ยังไม่มีใครทำ แล้วอาสาเข้าไปจัดการ ไม่ใช่เพื่อเอาหน้าคนเดียว แต่เพื่อช่วยให้ทีมและบริษัทดีขึ้น
- ทำไมถึงสำคัญ: การคิดแบบนี้แสดงให้เห็นว่าเราใส่ใจภาพรวมและมีความรับผิดชอบสูง ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ทำให้เรามีค่ากับองค์กรมากๆ และเติบโตได้เร็วกว่าคนอื่น
เหตุผลหลัก (ว่าทำไม)
- อย่างแรก ผู้พูดชี้ว่าคนทำงานที่โดดเด่นมักจะเป็นคนที่ "อยู่ไม่นิ่ง" คือไม่รอให้ใครมาสั่ง แต่จะมองหาปัญหาและโอกาสที่จะทำให้งานดีขึ้นอยู่เสมอ
- ต่อมา พวกเขาจะสร้างเครือข่ายหรือคอนเนคชั่นกับคนอื่น เพื่อให้สามารถหาความรู้หรือความช่วยเหลือได้รวดเร็ว ทำให้ทำงานได้ฉลาดและเร็วกว่าคนอื่น
- จากนั้น พวกเขายังเข้าใจภาพรวมของงานทั้งหมด ไม่ได้มองแค่มุมของตัวเอง เช่น ถ้าเป็นคนเขียนโปรแกรม ก็จะคิดไปถึงว่าคนใช้จะรู้สึกยังไง
- สุดท้าย ผู้พูดบอกว่าทักษะอื่นๆ ก็สำคัญไม่แพ้กัน เช่น การเป็นผู้ตามที่ดี การเป็นผู้นำที่ไม่ต้องวางอำนาจ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการนำเสนอผลงานของตัวเองให้คนอื่นเข้าใจ
คำถามชวนคิด
- ถาม: การเป็น "Star Performer" แปลว่าเราต้องทำงานหนักกว่าคนอื่นตลอดเวลาเลยรึเปล่า?
ตอบ: จากในพอดแคสต์ เน้นไปที่การทำงานอย่าง "ฉลาด" มากกว่าแค่ "หนัก" ครับ คือการเลือกทำในสิ่งที่ส่งผลกระทบเยอะๆ กล้าเริ่มทำสิ่งใหม่ๆ และรู้จักขอความช่วยเหลือจากคนอื่น ซึ่งอาจจะต้องลงแรงมากขึ้นในบางครั้ง แต่หัวใจสำคัญคือการเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง
ถาม: ถ้าคนส่วนใหญ่เป็น "ผู้ตาม" แปลว่าเราต้องเป็น "ผู้นำ" เท่านั้นถึงจะโดดเด่นได้ใช่ไหม?
- ตอบ: ไม่เลยครับ ในพอดแคสต์บอกว่าการเป็น "ผู้ตามที่ยอดเยี่ยม" (Star Follower) ก็เป็นทักษะที่สำคัญมากเหมือนกัน คือการเป็นคนที่คิดวิเคราะห์เองได้ แต่ก็พร้อมที่จะสนับสนุนผู้นำและทำงานเพื่อเป้าหมายของทีม ซึ่งต่างจากการเป็นผู้ตามที่รอรับคำสั่งอย่างเดียว
เรื่องนี้สำคัญยังไง & น่ารู้อะไรต่อ
- ทำไมเรื่องนี้ถึงน่าสนใจ: ถึงเราจะยังเรียนอยู่ แต่ไอเดียพวกนี้เอาไปใช้ได้เลยนะ การกล้าเสนอตัวทำโปรเจกต์กลุ่ม การรู้จักถามครูหรือเพื่อนที่เก่งๆ เวลาไม่เข้าใจ หรือการฝึกพรีเซนต์หน้าห้องให้ดีขึ้น ทั้งหมดนี้จะทำให้เราเรียนได้ดีขึ้นและโดดเด่นกว่าใคร แถมยังเป็นการเตรียมตัวสำหรับโลกการทำงานในอนาคตด้วย
- ไปหาความรู้ต่อ: ลองดู TED Talk ของ Angela Lee Duckworth เรื่อง "Grit: พลังของความชอบและความเพียร" ใน YouTube (มีซับไทย) จะได้เห็นว่าความสำเร็จไม่ได้มาจากพรสวรรค์อย่างเดียว แต่มาจากการไม่ยอมแพ้ ซึ่งคล้ายกับแนวคิดในพอดแคสต์นี้เลย